วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556


ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ กล่าวถึง สภาวะท่อไอเสียว่า  
  ยวดยานพาหนะต่าง ๆ ที่แล่นไปด้วยพลังงานการเผาไหม้ของน้ำมันเบนซิน (Benzine = C6H6) น้ำมันดีเซลในเครื่องยนต์ เช่น รถยนต์ เครื่องบิน รถมอเตอร์ไซด์ รถสามล้อเครื่อง เรือ จะปล่อยสารพิษ  ไอควัน ก๊าซต่าง ๆ หลายชนิดออกมาทางท่อไอเสีย สู่อากาศในอัตราสูงเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถยนต์ เป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดอากาศเสียอันสำคัญ และควบคุมแก้ไขได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครมีรถยนต์เพิ่มขึ้นทุกปี แม้เก็บภาษีรถยนต์แพงเท่าใดก็ตาม เพราะการคมนาคมกลายเป็นปัจจัยอันสำคัญของมนุษย์
            ควันดำของรถที่ใช้น้ำมันเบนซิน สิ่งหลุดออกมามีทั้ง ไอเสีย ก๊าซต่าง ๆ ตลอดจนเขม่าแยกออกมาได้ดังนี้ คือ
         ไอเสียประกอบด้วย
      • คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO)  และคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2)
      • ไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon)
      • ไนตริคออกไซด์ (NO2) และไนโตรเจนออกไซด์  (NO4)
      • พวกอัลดิไฮด์ (Aldehyde)
      • ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfurdioxide)
 
เขม่า  ประกอบด้วย
 
      • ผงคาร์บอน (Carbon)
      • สารประกอบของตะกั่ว (Teraelthy Lead)
      • สารจำพวกฟีนอลส์ (Phenol)
      • น้ำมันรถยนต์ (Fuel)
      • สารอินทรีจำพวกไนโตร (Nitro organic)
      • ยางเหนียว ซึ่งประกอบด้วยโปลี่ซายคลิก    อโรเมติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons) ยางเหนียวเหล่านี้ประกอบด้วย
        • 3,4 เบนโซไพลิน (3-4 Benzopyrene)
        • ไพเรนซ์ (Pyrence)*
        • 1,2 เบนโซไพริน (1,2 Benzopyrence) +
        • 1,12 เบนโซไพลิน (1,12 Benzopylens) +
        • แอนทราเซน (Anthracene)+
        • โคโรนินี่ (Coronene)
        • 1,2 เบนแซนทราเซน (1,2 Benzanthracne)*+
        • แอนแทนทรีน (Anthanthrene)+
        • เปอรีลิน (Anthanthere)
        • 4,4 บีมโซทีทรา เพน (4,4 Bemxotetra phene)
        • 3,4,8,9 ไดเบนโซไพริน (3,4,8,9 dibenzopyrene)

            ส่วนควันดำของรถที่ใช้น้ำมันดีเซลนั้นประกอบด้วยไอเสียและเขม่า เช่นเดียวกันกับของรถที่ใช้น้ำมันเบนซิน มีส่วนประกอบแตกต่างกันเล็กน้อย
          ไอเสียของรถดีเซลประกอบด้วย
·         ไอน้ำ (Vapour)
·         คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) และไนโตรเจนไดอ๊อกไซด์ (N2O)
·         ไฮโดรคาร์บอน (Hydrocar)
·         ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfurdioxide)
·         พวกอัลดิไฮด์ (Aldehyde)
·         ออกซิเจน (Oxygen)
·         ไฮโดรเจน (Hydrogen)
·         ไนโตรเจน (Nitrogrn)
เขม่าของรถดีเซลประกอบด้วย
§  ผงคาร์บอนเป็นจำนวนมาก
§  ยางเหนียว ซึ่งประกอบด้วย โปลี่ซายคลิก อโรเมติก ไฮโดรคาร์บอน (polycyclic aromatic hydrocarbons) คือ
§   3,4 เบนโซไพริน (Benzopyrene)*
§  แอนทราเซน (Anthracene)+
§  ไพเรนซ์ (Pyrence)*
§  1,2 เบนแซนทราเซน (1,2 Benzanthracene)*+
§  1,12 เบนโซเปอรีลิน  (1,12 Benzoperylene)*+
§  ฟลูออแรนทีน (Fluoranthene)*
§  11,12 เบนโซฟลูออแรนทีน (11,12 Benzofluoranthene)*
§  ไดแบนแซนทราซีน  (Dibenzanthracene)*
§  เปอรีลิน (Perylene)+
§  แอนทราเทริน (Anthrathrene)+
§  1,2 เบนโซไพริน (1,2 Benzopyrene  phene)*
§  3,4 เบนโซทีทรา (3,4 Benzotetra phene)
§  ฟลูออเรน (Fluorene)

เครื่องหมาย  *   แสดงว่า ทำให้เกิดมะเร็ง
เครื่องหมาย  +  แสดงว่า ไม่ทำให้เกิดมะเร็ง
เครื่องหมาย *+  แสดงว่า บางตำรา ทำให้เกิดมะเร็ง
                                     บางตำรา ไม่ทำให้เกิดมะเร็ง
ไม่มีเครื่องหมาย แสดงว่ายังไม่ทราบว่าทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่
 
อันตรายจากก๊าซพิษที่ออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์
        มีหลายคนสงสัยว่าคนในกรุงเทพ ฯ ได้สูดหายใจเอาก๊าซพิษ  ไอเสีย  ควันดำ  ฝุ่น  ละอองของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม ฯ เข้าไปทุกวันก็ไม่เห็นมีใครเป็นอันตราย ยังประกอบธุรกิจการงานได้อย่างปรกติสุข ไม่เห็นมีคนล้มดาวดิ้นสิ้นชีพ เพราะก๊าซพิษเลย ดังนั้นสมควรที่จะได้มีการศึกษาเกี่ยวกับก๊าซพิษ แต่ละชนิดแล้วลงความเห็นกันต่อไป
        1.  ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์  (Carbon  monoxide)
              เกิดจากการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ที่ไม่สมบรูณ์และรถยนต์ปล่อยก๊าซนี้ออกมาทางท่อไอเสีย ก๊าซนี้จะลอยปะปนอยู่ในอากาศมีจำนวนมาก เมื่อมีการจราจรคับคั่งเมื่อสูดหายใจเอาก๊าซนี้เข้าไปในร่างกายแล้ว จะไปแย่งออกซิเจนโดยไปรวมกับเฮโมโกลบิน (Haemogobin) ซึ่งเรียกย่อว่า Hb เป็นสารหนึ่งที่มีอยู่ในเม็ดเลือดแดง กลายเป็นคาร์บอกซีเฮโมลโกลบิน (Carboxy haemoglobin) ปกติร่างกายของคนเราต้องการอ๊อกซิเจนจะไปรวมตัวกับเฮโมโกลบินกลายเป็นอ๊อกซีโมโกลบิน (Oxyhaemoglobin) เขียนย่อ ๆ ว่า HbO2 ในเลือดที่มี HbOนี้จะถูกส่งไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกายในแหล่งที่มี HbO2 ในเนื้อเยื่อจะได้รับอ๊อกซิเจน
            แต่ถ้าหายใจเอาซีโอเข้าไป ซีโอจะเข้าไปรวมตัวกับเฮโมโกลบิน ได้เร็วกว่าอ๊อกซิเจน 4 เท่าตัว ถ้าปริมาณของก๊าซซีโอน้อย ก็จะทำให้ร่างกายเกิดความสมดุลย์กับโลหิต และเมื่อหายใจออกก็จะขับก๊าซนี้ออกไป ปกติก๊าซนี้มีอยู่ในอากาศ 25 ส่วน ในอากาศล้านส่วน ถ้าหายใจเข้าไปจะมีก๊าซนี้อยู่ในกระแสโลหิต กลายเป็นคาร์บอกซี เฮโมโกลบิน อยู่เพียง 4%  แต่ถ้าร่างกายมีไม่ถึง 4% ก็จะพยายามดูดเอาก๊าซนี้เข้าไปให้มีถึง 4% ตัวอย่างเช่น นักสูบบุหรี่ร่างกายจะมีก๊าซนี้อย่างน้อย 4% หรือมากกว่านั้นเพราะในการสูบบุหรี่ก็จะอัดควันบุหรี่เข้าไป จึงทำให้ได้รับก๊าซนี้มากกว่าคนธรรมดา เมื่อร่างกายมีก๊าซนี้ 4% แล้วขับออกเพื่อให้เข้าสู่ภาวะสมดุลย์ที่ระดับ 4% (ถ้าไม่สูบต่อ)  คนไม่เคยสูบจะมีซีโอมากแล้วจะทำให้อึดอัดเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย โลหิตเปลี่ยนรูปแข็งตัวขึ้น ไหลไม่ได้ เซลล์ก็ขาดอ๊อกซิเจน จึงทำให้วิงเวียน อ่อนเพลีย เพราะสมองได้รับออกซิเจนน้อยนั่นเอง ดังนั้นจึงห้ามไม่ให้สูบบุหรี่บนรถเมล์ ในโรงภาพยนต์ จากการสำรวจพบว่า เมื่อเครื่องยนต์เผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงไป 1 แกลลอน จะมีซีโอประมาณ 3 ปอนด์ หลุดออกมา
ขนาดและอัตราการเกิดพิษ
          ก.   ความเข้มข้นของอากาศภายนอก
                    1.  ความเข้มข้นของอากาศภายนอกที่มีก๊าซนี้อยู่เสมอ 100 ส่วนในล้าน จะไม่ให้เกิดอาการใด ๆ ระหว่างที่ได้รับนานถึง 8 ชั่วโมง
                    2.  ความเข้มข้นที่ได้รับ 500 ส่วนในล้านส่วน เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ทำงานเบา ๆ ไม่มีอาการใด ๆ แต่บางคนมีอาการมึนศีรษะเล็กน้อยหรือหายใจขัดได้
                    3.  ความเข้มข้นขนาดเกิน 1,000 ส่วน ในล้านส่วนทำให้ผู้รับสิ้นสติ ระบบหายใจวาย ถ้าได้รับเกินกว่า 1 ชั่วโมงจะทำให้ถึงแก่ความตาย
          ข.   ความเข้มข้นของก๊าซนี้ในร่างกาย (Carboxyhaemoglobin)
                    1.  ถ้าในกระแสโลหิตมีคาร์บ๊อกซีเฮโมโกลบิน 20 - 30% จะทำให้เกิดอาการไม่สบาย หายใจไม่สะดวก มีอาการปวดศีรษะ
                    2.  ถ้ามีคาร์บ๊อกซีเฮโมโกลบิน 30 - 50% จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง จิตใจสับสน วิงเวียนศีรษะ การมองเห็นและการได้ยินเสื่อมลง คลื่นไส้ หงุดหงิด เจ็บหน้าอกและเป็นลม
                    3.   ถ้ามีคาร์บ๊อกซีเฮโมโกลบิน 50 - 60% หรือประมาณ 375 ส่วนในล้าน อาจทำให้หมดความรู้สึกและอาจถึงตายได้ ถ้าได้รับเป็นเวลานาน ๆ
                    4.   ถ้ามีคาร์บ๊อกซีเฮโมโโกลบิน 80% หรือประมาณ 500 ส่วนในล้าน อาจทำให้ตายได้ในทันทีทันใด
                    ตามขนาดและอัตราที่กำหนดข้างบนนี้ จะเห็นได้ว่าขนาดสูงซึ่งถ้ามีในบรรยากาศ จะทำให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นจึงมีหลายประเทศกำหนดขนาดและอัตราที่ต่ำกว่า ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก
รถยนต์ช่วงใดที่ปล่อยก๊าซนี้มากที่สุด มีดังนี้
                    1.    รถยนต์เครื่องดีเซลล์ ช่วงที่ปล่อยคาร์บอนมอนนอกไซด์มากที่สุด คือรถประจำทาง รถบรรทุก ที่บรรทุกน้ำหนักมากเกินไป
                    2.    รถยนต์เครื่องเบนซินช่วงที่ปล่อยคาร์บอนมอนนอกไซด์มากที่สุดคือ รถที่อยู่ระหว่างเบาเครื่องจอดติดเครื่องขณะรถติด
                    3.    รถยนต์ใช้น้ำมันผสมช่วงที่ปล่อยคาร์บอนมอนนอกไซด์มากที่สุด คือ สามล้อเครื่อง ขณะบรรทุกหนักและจอดรอสัญญาณไฟ
                    ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ทำให้สุขภาพของกรุงเทพเสื่อมทรุดลงเพราะจุดที่เกินมาตรฐานมีมากแห่ง เมื่อสูดเข้าไปทุกวัน ๆ ย่อมทำให้เกิดพิษภัย คือรู้สึกปวดศีรษะ จิตใจไม่สบาย อ่อนเพลีย มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย ดูคนในกรุงเทพขณะนี้เป็นคนมีสุขภาพบกพร่องเป็นคนยิ้มยากไปเสียแล้ว  แม้ว่าก๊าซนี้จะไม่ทำให้คนดับดิ้นขาดใจตายในทันทีทันใดก็ตาม แต่นับวันก็จะเพิ่มความสำคัญในด้านเป็นอันตรายมากขึ้น และนับวันก็จะเพิ่มความสำคัญในด้านเป็นอันตรายมากขึ้น และนับวันก็จะเพิ่มความสำคัญในด้านเป็นอันตรายมากขึ้น เพราะรถยนต์เพิ่มขึ้น เพราะรถยนต์เพิ่มขึ้น การถ่ายเทอากาศไม่ดี มีตึกรามบ้านช่องมากขึ้น ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มอันตรายหากไม่ได้รับวางแผนแก้ไขเสียแต่เนิ่น ๆ
      2.  สารประกอบของตะกั่ว (Tetraethyl Lead)
                มีสูตรเคมีคือ Pb(C2H5)4 โดยผู้ผลิตน้ำมันได้เติมสารประกอบของตะกั่วที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า เตตร้าเอทิลเลต (Tetraethyl Lead) ซึ่งเป็นของเหลวใส่ลงไปในน้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่อง (ที่ใช้กับเครื่องยนต์) เพื่อให้มีออกเทนสูง (Octane bumber) สูง วิ่งเร็ว ป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ เกิดการชักกระตุก (Antiknock Additive Substance) แต่เนื่องจากการเผาไหม้ในคอมบิวเรเตอร์ของเครื่องยนต์ ไม่สมบรูณ์จะมีสารประกอบของตะกั่วหลุดออกมา พวกตะกั่วเหล่านี้จะทำให้อากาศสกปรก โดยแผ่กระจายไปในอากาศทั่วบริเวณนั้น ๆ ยิ่งจำนวนรถยนต์ของกรุงเทพมหานครหรือเมืองใหญ่ ๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สารประกอบของตะกั่วก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเงานตามตัวเช่นกัน ตามสถิติในน้ำมันเบนซินมีสารตะกั่วละลายอยู่ 0.7 กรัมต่อลิตร หลังจากการเผาไหม้ในเครื่องยนต์แล้วตะกั่วประมาณ 0.4 กรัมต่อลิตร จะถูกปล่อยออกมายังสิ่งแวดล้อมทางท่อไอเสียรถยนต์ในปี 2520 ประเทศไทยยังใช้น้ำมันเบนซินประมาณ 1,600 ล้านลิตรต่อปึ หรือ 60% ของจำนวนนี้ เป็นส่วนที่ใช้ในกรุงเทพมหานคร
ฉะนั้นจะมีสารตะกั่วประมาณ 38,400 กิโลกรัมต่อปี หรือประมาณ 105.2 กิโลกรัมต่อวัน หลุดออกมาสู่สิ่งแวดล้อม สำหรับสถิติปี 2522 มีการใช้น้ำมันเพิ่มเป็น 13,600 ล้านลิตรต่อปี จะมีตะกั่วหลุดออกมามากมายเท่าใด และตะกั่วเหล่านี้ บางส่วนจะถูกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมในกรุงเทพ และบางส่วนจะเจือปนเข้าไปในร่างกายของคนในเมืองหลวงโดยทางลมหายใจ ส่วนที่ไม่ได้เข้าไปสู่ร่างกายของคนก็จะตกลงทับถมบนถนน หนทางและบริเวณต่าง ๆ ฝนก็จะชะเอาตะกั่วส่วนนี้ลงสู่แม่น้ำลำคลอง และเจือปน ซึ่งมีผลต่อระบบสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง
                อันตรายของตะกั่ว ที่ถูกฝนชะล้างลงสู่แม่น้ำลำคลอง ไหลลงทะเล สัตว์น้ำ เช่นปู ปลา กุ้ง หอย ก็รับเอาสารตะกั่วเข้าไปสะสมในร่างกาย เมื่อคนกินสัตว์น้ำพวกนี้เข้าไปก็ได้รับอันตรายจากพิษของตะกั่วเข้าไปด้วย โดยเฉพาะสัตว์น้ำที่มีตะกั่วสะสมอยู่มาก คือ ปลา และหอยนางรม ที่คนเราชอบรับประทานนั่นเอง

พิษของตะกั่วที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์โดยทางการหายใจ
        พิษของสารตะกั่วที่มีต่อสุขภาพที่เห็นได้ชัดเจนมาก คือ นอนไม่ค่อยจะหลับ อารมณ์ไม่แจ่มใส เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด ท้องผูก อาเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เหงือกซีด โลหิตจาง ไตพิการ ทำลายเนื้อเยื่อสมอง ทำให้ปวดศีรษะ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิตจนถึงตายได้ นอกจากนี้ตะกั่วยังไปสะสมได้ในกระดูก ทั้งนี้เพราะตะกั่วมีลักษณะคล้ายแคลเซี่ยมและสามารถสะสมในเนื้อเยื่ออ่อนโดยเฉพาะในสมอง ไต และอวัยวะอื่น ๆ ได้ด้วย
        ปกติระดับของตะกั่วในเลือด จะต่ำกว่า 0.08 มิลลิกรัม / 100 ีซ.ซี. ถ้าเกินระดับนี้ถือว่าเป็นอันตราย จากการศึกษาระดับตะกั่วในเลือดของเด็กจำนวน 69 คน ที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ถมด้วยกากแบตเตอรี่ในเขตตำบลบางครุ 0.15 - 5.40 ส่วน ในล้านส่วน ค่าเฉลี่ย 1.28 ส่วนในล้านส่วน ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.20 ส่วนในล้านส่วน เด็กที่มีตะกั่วในเลือดต่ำกว่า 0.5 ส่วนในล้านส่วน มีอยู่ร้อยละ 29 ของจำนวนเด็กทั้งหมดโดยทั่วไปแล้ว เราอาจจะพิจารณาได้ว่าระดับของตะกั่วในเลือดขนาดตั้งแต่ 1.5 ส่วนในล้านส่วน อยู่ในขั้นพื้นฐานแลทางการแพทย์อาจพบอาการที่เกิดจากพิษตะกั่วได้
            3.  ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfurdioxide , SO2)
         เป็นก๊าซที่มีกลิ่นเหม็น ทำให้ระบบทางเดินหายใจ เช่น จมูก ลำคออักเสบ ระคายเคือง ทั้งนี้เนื่องมาจากในน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์มีกำมะถันปนอยุ่ เมื่อเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบรูณ์จะมีกาซกำมะถันปนอยู่ เมื่อเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบรูณ์จะมีก๊าซกำมะถันหลุดออกมาทางท่อไอเสียรถยนตื ดังนั้นโรงกลั่นน้ำมันต้องกำจัดกำมะถันในน้ำมันดิบออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก๊าซนี้มีอันตรายต่อสุขภาพมากกว่า ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ เพราะเป็นตัวนำที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ ทำให้สัตว์เจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในอัตราสูง ถ้าสูดเข้าไปเสมอ ๆ ทำให้เกิดหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถ้ามากทำให้ลิ้นไก่สั้นเกิดการเกร็งหดปิดทางเดินหายใจตายทันที สำคัญที่สุดเป็นอันตรายต่อปอดในรายที่คนไข้เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจอยู่แล้ว จะมีอาการเพิ่มมากขึ้น เมื่อได้รับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ขนาด 0.25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ขนาดได้กลิ่นฉุน) บางตำราบอกว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหอบหืด ก๊าซนี้กำหนดไว้เพียง



อ้างอิง  ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ .2556สภาวะจากท่อไอเสีย[ออนไลน์]เข้าถึง http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi3/tol/toln.htm /สืบค้นวันที่ 28/06/2556

นาย นพณัฐ  แป้นทอง  เลขที่1 ม.6/3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น